เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ มี.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราอยู่บ้าน เราอึดอัดขัดข้องในหัวใจกันนะ เราทุกข์ เราโดนบีบคั้น เราก็อยากจะหาที่ระบาย นี่ความคิดทางโลกนะหาที่ระบาย แล้วเราบอกว่า เห็นไหม เวลาพุทธศาสนาบอกทำบุญแล้วต้องได้บุญ บุญคือความสุข แต่ทำไมจิตใจเราโดนบีบคั้นขนาดนี้ล่ะ?

เวลาจิตใจมันบีบคั้นมันเรื่องของกิเลสนะ กุศล อกุศล มันเหมือนดีกับชั่ว อุเบกขาอยู่ตรงกลาง อุเบกขาไง คนเราบอกว่าเป็นคนดีอยู่แล้ว ไม่ทำสิ่งใดเลย ทำไมต้องไปวัดๆ นี่อุเบกขา มันจะไหลไปทั้งดีและชั่ว เวลาผลประโยชน์เกิดขึ้นมา เราจะมีจิตใจเข้มแข็งพอที่เราจะเอาชนะใจตัวเราเองไหม? ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะใจตัวเราเองได้นี่มันจะไปดีและชั่ว

ฉะนั้น บอกว่าสิ่งที่ว่าทำบุญแล้วได้บุญๆ ทำบุญ บุญคืออะไร? บุญคือการเสียสละ การเสียสละเพื่อให้คนอื่นเขาได้ผ่อนคลายเพราะเรา นี่เราอึดอัดขัดข้องในหัวใจ เราเสียสละออกไปเพื่อให้มันผ่อนคลายออกไป แต่นี้ความทุกข์ ความที่มันสะสมในหัวใจ ตะกอนในใจ เวลาน้ำมันลด น้ำมันระเหยไป ตะกอนมันก็ค้างอยู่ในก้นแก้วนั้น

นี่เวลาทำบุญกุศลไป สิ่งที่เป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นความไม่รู้ สิ่งที่อึดอัดขัดข้องมันก็อยู่ในใจ มันไม่ได้เอาออกไง มันไม่ได้เอาออก ไม่ได้ทำให้น้ำนั้นใสสะอาดโดยสัจธรรม ถ้าโดยสัจธรรม เราทำบุญกุศลเพื่อมีศรัทธา มีความเชื่อ ศรัทธาเป็นหัวรถจักรนะ เพราะเรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราถึงได้ขวนขวายหาทางออกของชีวิต หาทางออกของชีวิตขึ้นมา เห็นไหม

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็หาหน้าที่การงานของเรา เราประสบความสำเร็จในชีวิตของเรา ทุกอย่างเพียบพร้อมไปหมดเลย แต่หัวใจมันทุกข์ ทุกข์ๆ อยู่นี่ จะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจขนาดใด อริยสัจ สัจจะความจริง ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์มันเผาลนในหัวใจ พลังงาน อวิชชา เห็นไหม อวิชชาที่มันเกิดในพลังงาน มันอยู่ในพลังงานนั้น มันเป็นปฏิสนธิจิต มันเวียนตายเวียนเกิดไป ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนะ

เป็นพรหม ผัสสาหารที่ว่ามีความสุขๆ นี่มันผ่องใส มันเศร้าหมอง มันก็ไปทุกข์อยู่นั่นน่ะ แม้แต่พรหมก็ทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย ความทุกข์มันมีอยู่ทุกดวงใจ ถ้ามีการเกิด มีทุกข์ทั้งหมด ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แต่เราเอาสิ่งนั้นมาบริหารจัดการ ถ้ามันมีความทุกข์ใช่ไหมเราก็ตื่นตัว คนตื่นตัว คนตื่นตัวคือคนขวนขวาย มันมีสิ่งใด เวลาเขาขับรถ ขับรถไประยะทางไกล นี่สิ่งที่อันตรายคือหลับใน เวลาหลับในนะมันให้ผลถึงอุบัติเหตุ

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องตื่นตัวของเรา ถ้ามันตื่นโพลง ใจมันตื่นโพลง เห็นไหม เราพุทโธ พุทโธเราก็ทำได้ ปัญญาอบรมสมาธิเราก็ทำได้ สิ่งใดเราก็ทำได้ แต่ถ้ามันเฉา มันเหงา มันหงอยนะ พอมันเฉา มันเหงา มันหงอย เดี๋ยวนะ เดี๋ยวมันเกิดนิวรณ์ เกิดการลังเลสงสัย นี่มันแตกต่างกัน ฉะนั้น เราจะต้องมีสติปัญญาของเรา เราขับรถระยะทางไกลขนาดไหน เราต้องพักผ่อนของเรา เราต้องมีการพักผ่อนให้จิตใจนี้มันตื่นตัวตลอด

การตื่นโพลงของใจนะ เวลาพุทโธ พุทโธ พุทโธเรามีสติปัญญาของเรา นี่ไปวัดไปวา ฟังธรรม ฟังธรรมนี่ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออะไร? เห็นไหม สิ่งที่คนเขาไม่เชื่อถือ นี่อนุปุพพิกถา ให้เขามีการเสียสละ ถ้าเขาไม่มีการเสียสละ เขาไม่มีความพร้อมเลย เขาจะรับธรรมะไม่ได้หรอก ดูสิบางคนเสียสละ บางคนตระหนี่ถี่เหนียวบอกเสียสละไปทำไม? หามาเกือบเป็นเกือบตาย เสียสละทำไม?

เราก็หามาเกือบเป็นเกือบตายนี่ไง ถ้าเรามีความใช้สอยในชีวิตของเรา ถ้าเราเจือจานให้คนอื่นได้ นี่เราเสียสละได้ ถ้าเราเสียสละได้ นี่เราเสียสละเพื่อหัวใจเราเป็นสาธารณะ มันฟังเหตุฟังผลไง เวลามันตระหนี่ถี่เหนียว เวลามันขบกัดนะ เวลาบอกว่าเงินนี่เป็นอสรพิษ อสรพิษมันขบกัดในหัวใจ ถ้ามันขบกัดใจเรา นี่เราเจ็บมาก แต่ถ้าเราเข้าใจมัน เราบริหารมัน อสรพิษ เขาเอาพิษงูมาทำเซรุ่ม มาเป็นวัคซีน มาเป็นป้องกัน

นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจของเราถ้ามันตระหนี่ถี่เหนียว ถ้าเรามีปัญญาบริหารจัดการมัน มันจะเป็นวัคซีนให้เรา มันจะรักษาดูแลหัวใจของเรา เห็นไหม นี่ฟังธรรม ทำบุญกุศลแล้วฟังธรรม สัจธรรม สิ่งที่ใกล้ตัวเรานี่แหละ สิ่งที่ในหัวใจเรานี่แหละ สิ่งที่มันอยู่กับเรานี่แหละ ถ้าเราย้ำคิดย้ำทำนะมันมองข้าม แต่ถ้ามีใครมาชี้ให้ไง ครูบาอาจารย์มาชี้ให้ นี่ตรงนี้ๆ เออ ทำไมเรามองไม่เห็น เรามองไม่เห็น

ถ้าเรามองเห็นนะ เรามองเห็นเราก็บริหารหัวใจของเรา ถ้าเราบริหารหัวใจของเรา เห็นไหม ทำใจให้เราตื่นโพลง ถ้าใจเราตื่นโพลงนะ ดูสิลูกหลานของเรานะ ถ้ามันเชื่อเพื่อน มันเที่ยวเกเรไปนี่ เราทุกข์ใจไหม? แต่ถ้ามันเข้าใจได้นะ มันดูแลตัวมันเองได้นะ เราก็สุขใจใช่ไหม? เราก็พอใจ จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้ามันตื่นโพลงอยู่ มันรักษาตัวมันเองได้ มันก็ไม่ทำให้หัวใจนี้มันฝ่าดงฝ่าหนามมันไป

ฝ่าดงฝ่าหนามนะ นี่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากฝ่าดงป่ารกชัฏ แต่มันก็พอใจจะไป แต่เวลาทางที่สะดวกสบายมันไม่ไป มันไม่ไป เห็นไหม เวลานั่งสมาธิ พุทโธ นี่ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ พุทโธของเรา นี่นั่งเฉยๆ พลังงานสะสมไว้มันไม่ทำ พอเวลามันทำแล้วมันอึดอัดขัดข้องไปหมดเลย แต่ถ้ามันไปแบกหาม ไปอาบเหงื่อต่างน้ำ มันบอกว่าทุกข์ๆๆ นะ แต่มันพอใจทำ มันพอใจนะ แต่พอให้มันนั่งเฉยๆ มันไม่ทำ เห็นไหม นี่ทางสะดวกสบายมันไม่เดิน มันจะเดินแต่ทางรกชัฏนั่นน่ะ แล้วทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ?

นี่เรื่องของโลกไง กิเลสมันเข้ากัน เวลาเขาดูคน เห็นไหม ถ้าดูเขาให้ดูเขาคบเพื่อน เพื่อนเขาเป็นอย่างไร อยากดูนิสัยเขา ดูเพื่อนเขานั่นแหละ เขานิสัยอย่างนั้นน่ะ เขาเข้ากันโดยธาตุ กิเลสกับกิเลสมันโดยธาตุ ธาตุของมัน มันพอใจอย่างนั้นแหละ แล้วมันก็บ่นว่าทุกข์ๆๆ นะ แล้วมันก็เอาไฟเผาตัวมัน มันบอกว่าทุกข์ๆๆ นั่นแหละ แล้วจะยับยั้งอย่างไร?

นี่จิตใจคนหยาบ ละเอียด ถ้ามันละเอียดขึ้นไปมันจะเห็นนะ เห็นความหยาบนั้นว่าสิ่งนั้นเป็นความผิดความถูก แต่ถ้าคนหยาบด้วยกันมันไม่รู้ไม่เห็นของมันหรอก แต่ถ้ามันพัฒนาของมัน เห็นไหม เราถึงต้องทำใจของเรา ถ้าใจของเรานะเรายับยั้งได้ แต่คนที่หยาบเขาบอกว่าโง่ ทำอะไรอาบเหงื่อต่างน้ำ หามาเกือบเป็นเกือบตาย เราเสียสละทำไม? ก็เสียสละไปเพื่อน้ำใจไง

เสียสละไป เห็นไหม ดูสิเราล้อมบ้านของเรา เรารักษาด้วยวัตถุ นี่ติดกล้องไปหมดเลย แต่ถ้าบ้านข้างเรือนเคียงเขาว่าเราเป็นคนดี เขาคอยบอก คอยเตือนเรา เราล้อมบ้านเราด้วยคน เราล้อมบ้านด้วยสังคม บ้านเราจะมีความร่มเย็นขนาดไหน? เราเสียสละออกไป เราได้น้ำใจมา เราได้น้ำใจคนบ้านข้างเรือนเคียงมา ความอยู่ของเรามันจะเป็นอย่างไร? นี่ไงเราเสียสละเพื่อแบบนั้น นี่ความอบอุ่น เราได้ความมั่นใจเรามา เราได้ความปลอดภัยเรามา เราได้คนคอยบอก คอยเตือนเรามา เห็นไหม นี่การเสียสละของเรา แต่ถ้าเราทำไม่ได้ เพราะคนๆ นั้นเป็นคนที่เรารับไม่ได้ นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ

นี่เวลาทำบุญมันต้องมีปัญญา ปัญญาของเราจะรักษาเรา ถ้ามันรักษาใจของเราได้ เห็นไหม นี่ตื่นตัวของเรา ปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัตินะ เราตื่นตัวของเรา เรารักษาใจของเรา เราดูแลใจของเรา มีสติของเรา ถ้าเราทำของเราขึ้นมาได้นี่ปัจจัตตัง เวลามันล้มลุกคลุกคลานไม่ต้องมีใครบอกเลย ถ้าเวลาทุกข์นะ นี่เวลาให้หันหน้าเข้าหากันแล้วบ่นเรื่องทุกข์นะ ใครมีความทุกข์ให้ระบายออกมานะ ฟังไม่ทันหรอก ฟังไม่ทัน ทุกคนมีหมด นี่เวลามันให้ระบายออกมามันมีแต่ความทุกข์ๆ ทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น สิ่งที่เราจะมาดูแลรักษา เห็นไหม เราจะดูแลรักษา ใจนี้ร้องเรียกความดูแลรักษา เวลาดอกไม้มันแรกแย้ม ชีวิตเราเป็นวัยรุ่น นี่เราบอกว่าชีวิตนี้มันสดใสมาก เวลาดอกไม้ ผลไม้พอมันไปกลางคน พอมันไปแก่เฒ่ามันจะหลุดจากขั้ว ความรู้สึกนึกคิดของคนมันเป็นไปตามวัย ความรู้สึกนึกคิดของคนเป็นไปตามวัยนะ แล้วมันยังมีอวิชชาหลอกล่อไปตลอดเวลา เมื่อนั้นๆๆ เมื่อนั้นเราจะทำความดีๆ ความดีเรามาจากที่นี่ เราเป็นวัยรุ่น เรามีการศึกษา เราต้องหมั่นเพียรศึกษาเพื่อให้มีปัญญาของเรา ถ้ามีปัญญาของเรา เห็นไหม ประสบการณ์ในชีวิตนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะเวลาทำหน้าที่การงาน

นี่ประสบการณ์ของชีวิตมันมีของเก่าของใหม่ ของเก่าหมายถึงว่ามันมีเวรมีกรรมมาต่อกัน มันจะโคจรมาพบกัน แต่พูดถึงถ้ามันมีของปัจจุบัน ของปัจจุบันนี่ เวรกรรม เห็นไหม เราเกิดมากับโลก เราปฏิเสธโลกไม่ได้หรอก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเราจะปฏิเสธว่าให้มีแต่คนดีๆ มีแต่คนที่เราพอใจ เป็นไปไม่ได้หรอก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนโลกธรรมเสียดสีรุนแรงนะ เวลาพระประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็มีการกระทบกระเทือนมาเหมือนกัน เวลาไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กำลังใจตลอดเวลาว่า

“ถ้าใครโดนโลกธรรมกระทบรุนแรงขนาดไหน ให้มีความมั่นคง ให้เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง”

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เวลาเผยแผ่ธรรมไป ในสังคมเขามีศาสนาดั้งเดิมอยู่แล้ว แรงเสียดสีมันจะมีอยู่ตลอดเวลา ทีนี้แรงเสียดสีมันเรื่องของแรงเสียดสีใช่ไหม? เรามีกำลังใจของเราไหม? เรามีสัจจะ เรามีจุดยืนของเรามั่นคงแค่ไหนไหม? ถ้าเรามีจุดยืนมั่นคง มันเข้าใจไงว่ามันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เองเพราะสังคม การตลาด เห็นไหม ตลาดเขาแน่นอยู่แล้ว เราจะเข้าไปในตลาดนั้นมันต้องมีแรงเสียดสีแน่นอน เขาต้องป้องกันของเขาแน่นอน ฉะนั้น แน่นอน เราทำหน้าที่อะไรของเรา?

ฉะนั้น ถ้าในสังคมเราเกิดมาเป็นมนุษย์ จะต้องให้มนุษย์คนอื่นดีกับเราไปทั้งหมดมันไม่มีหรอก ฉะนั้น ถ้าใครดีกับเราเราก็ดีด้วย ใครไม่ดีกับเรา เราก็วางไว้ตรงนั้น แต่เราจะทำดีของเรา แต่สิ่งที่ไม่ดีมา เราจะตอบโต้ด้วยความไม่ดีไป เราก็กลายเป็นคนไม่ดีไปเลยหรือ? เราจะเอาสิ่งนั้นนะ เอาสิ่งที่ว่าสังคมนี้ไม่ดี แล้วเราจะไม่ดีไปกับสังคมนั้นหรือ?

สังคมนั้นจะดีหรือไม่ดี เห็นไหม นี่สภาคกรรม กรรมที่เกิดมา ดูสิเวลาสังคมที่มันร่มเย็นเป็นสุข สังคมที่มันเจริญเฟื่องฟู เราเกิดมาในช่วงสังคมนั้นเราจะมีความสุข นี่สังคมเกิดในช่วงสมัยสงคราม สมัยต่างๆ สังคมนั้นมีการกระทบกระเทือนกันมาก เราเกิดในช่วงนั้น นี่เกิดในประเทศอันสมควร เราเกิดในประเทศไหน เราเกิดในสังคมไหน เราเกิดนี่มงคลชีวิตไง เราสร้างของเรามา เราเกิดมาในสังคมไหน แต่ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งนะ เราจะอยู่ในสังคมนั้นด้วยรักษาความดีของเรา

ถ้าเรารักษาความดีของเรา ความดีจากข้างนอก ความดีจากข้างใน ถ้าความดีจากข้างใน เห็นไหม ดูสิเวลาเรานั่งภาวนา โดยสังคมของทางโลกเขาบอกว่า พระนี่ไม่เห็นทำอะไรเลย วันๆ ไม่เห็นทำอะไร เดินไปเดินมา นั่งสมาธิ เป็นคนเกียจคร้าน แต่ถ้าใครปฏิบัตินะ การเอาความรู้สึกของเราไว้ในอำนาจของเรามันยากแค่ไหน? เอาความรู้สึกของเราไว้ในอำนาจของเรามันยากยิ่งกว่า

งานหยาบๆ คืองานอาบเหงื่อต่างน้ำ ลงทุนลงแรง เขาว่าอย่างนั้นมันเป็นงาน แต่นั่งเฉยๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา นี่เขาบอกว่าไม่ทำอะไรเลย เป็นคนที่เกียจคร้าน คนที่เกียจคร้านต้องมีสติ เวลาที่สติมันเข้มแข็งขึ้นมามันจะเป็นมหาสติ แล้วเวลามันภาวนาจนต่อเนื่องขึ้นไป มันจะเป็นสติอัตโนมัติ นี่คนเกียจคร้านหรือจะมีคุณสมบัติอย่างนี้ คนเกียจคร้านหรือจะมีปัญญา มหาปัญญา ปัญญาที่มันละเอียดลึกซึ้งเข้ามาชำระล้างสิ่งที่มันตกผลึกในหัวใจ ที่เป็นตะกอนในก้นบึ้งในใจของเรา

นี่ว่าเราทำบุญกุศลๆ บุญกุศลมันเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา ใช่ มันเป็นที่พึ่งอาศัยของเราในวัฏฏะ ในการเกิดและการตาย แต่ถ้าเราพิจารณาของเรา เราเกิดปัญญาของเรา เราจะเอาตะกอนของเราออกจากใจแล้ว ถ้ามันสำรอก มันคายออก นี่คายออกมากคายออกน้อย เราจะรู้ของเรา ถ้าเรารู้ของเรา เห็นไหม นี่ละสังโยชน์ ๓ เป็นโสดาบัน กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลงเป็นสกิทาคามี กามราคะ ปฏิฆะขาดไปเป็นอนาคามี แล้วรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

อวิชชาคือความไม่รู้ ถ้ามันสำรอกออก จิตใจถ้ามันสำรอกออกมันต้องรู้ของมัน มันต้องเห็นของมัน มันต้องมีวิธีการของมันสิ นี่เวลาทุกข์จนเข็ญใจเรารู้ เวลามันคายตัวออกทำไมเราไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็ว่างๆ อยู่ดีๆ ก็ปล่อยวาง แล้วมันไม่ได้คายออก มันไม่สำรอกออก มันจะออกไปได้อย่างไร? มันจะมีสำรอกออก มันสมุจเฉท เวลากิเลสขาดดั่งแขนขาด มันต้องรู้ต้องเห็นสิ มันต้องรู้ต้องเห็น เห็นไหม เพราะรู้เพราะเห็นอย่างนั้นถึงบอกวิธีการ

นี่ร่มโพธิ์ร่มไทร ครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติมา มีข้อเท็จจริงในใจ จะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร จะมีข้อเท็จจริงอย่างนั้นคอยชี้ คอยแนะ คอยบอก คอยเตือนเรา เวลาท่านสำรอกออก เราแค่สงบร่มเย็น เราไม่สำรอกออก เราว่าเหมือนกัน ถ้าเหมือนกันทำไมไม่มีเหตุผลอย่างนั้น ถ้าไม่มีเหตุผลอย่างนั้น นี่ไงธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มงคลชีวิต ๓๘ ประการนะ เกิดในประเทศอันสมควร ไม่คบคนพาล คนบัณฑิต เห็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ สมณะจะให้สิ่งที่ดีๆ กับเรา

สิ่งที่ดีๆ ก็คือการชี้แนะช่องทางเดินของใจไง ใจมันจะเดินออกทางไหน มันจะมีช่องทางไปทางไหน นี่มันเป็นจริตเป็นนิสัยของคน นี่ลายพิมพ์นิ้วมือไม่เหมือนกัน ลายพิมพ์จิต จริตนิสัยของคนจะไม่เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์สอน จะสอนแต่ละคนแตกต่างกันไป แตกต่างกันไปหมายความว่า เวลาเขาเผชิญหน้ากับสิ่งใด เวลาคนเราปฏิบัติไปนะ คนนั้นรู้เห็นอย่างนี้ คนนี้รู้เห็นอย่างนั้น ทำไมเราไม่มี ทำไมเราไม่รู้ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านจะรู้ของท่าน เพราะมันเป็นจริตของเขา มันเป็นคุณสมบัติของเขา มันเป็นคุณสมบัติของจิต

จิตชนิดนี้จะต้องเป็นอย่างนี้ จะเห็นอย่างนั้น แต่คุณสมบัติสิ่งใด มันก็ต้องแก้ไขเฉพาะคุณสมบัติอันนั้น แก้ไขจิตอันนั้น จิตดวงนั้นต้องแก้ไขจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นจะเกิดปัญญาของจิตดวงนั้น แล้วพิจารณาดวงนั้น แก้ไขอย่างนั้นไป มันจะเป็นเฉพาะๆ ไง ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเอตทัคคะ ๘๐ องค์ เห็นไหม เว้นไว้แต่พระอานนท์ พระอานนท์มีความชำนาญหลายทางมาก นี่ความชำนาญแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

ดูสิพระอุบาลีเป็นผู้ชำนาญการ เป็นเอตทัคคะทางวินัย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานอยู่ พระอรหันต์นั่งล้อมรอบอยู่นะ “อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่นิพพานไปแล้วหรือ?”

พระอนุรุทธะเอตทัคคะทางรู้วาระจิต เห็นไหม บอกว่า “ยังๆๆ” นี่พระอรหันต์เหมือนกัน พระอรหันต์เหมือนกัน ทำไมพระอรหันต์อีกองค์หนึ่งถามพระอรหันต์อีกองค์หนึ่งล่ะ?

นี่ไงลายพิมพ์จิตถึงไม่เหมือนกัน ฉะนั้น เวลาปฏิบัติไปไม่ต้องให้เหมือนใคร ให้เหมือนเรา ให้เหมือนกับความรู้สึกของเรา แก้ไขความรู้สึกของเรา เอาตะกอนในใจของเราออก อันนี้ประเสริฐที่สุด แล้วเวลาคนที่สำรอกออก คายออก มันจะมีช่องทางอย่างนี้ รู้อย่างนี้ แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา

นี่บุญกุศล เห็นไหม บุญเริ่มตั้งแต่เราไปวัด เราไปวัดเราหาทางออก ความบีบคั้นหัวใจ หัวใจมันบีบคั้นทั้งนั้นแหละ นี่มีมาก มีน้อย แต่ถ้ามีจุดยืนของเราแล้วนะเหมือนลมพัด ลมพัดมาก็เย็นดี มันผ่านไป สิ่งใดถ้าบีบคั้นมามันก็เหมือนลมพัดผ่านไป โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ ของมีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้หรือไม่ตรัสรู้ ของอย่างนี้มีอยู่แล้ว แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วนะ นี่รู้เท่า รู้ทัน แล้วบริหารจัดการมา

เวลาโลกธรรม ๘ มาก็เหมือนลมพัดผ่านไป ลมพัดผ่านมา เราก็มีสติปัญญา ลมพัดผ่านไป ลมพัดผ่านมา มันก็ไม่อึดอัดขัดข้องไง มันก็ไม่ให้โลกธรรมนี้มาทำลายจิตใจเราไง นี่เราพัฒนาได้ เราปฏิบัติได้ จะเป็นคุณสมบัติของเรา เอวัง